Cr.คุณภัทรชัย
อันตรายของแสง คือ แสงUV(ultraviolet แสงเหนือม่วง)
ค่า ppfd กับค่า pfd
หน่วยของมันคือ mole ต่อพื้นที่
mole เปนหน่วยของโมเลกุล ซึ่งเมื่อแปลตามตัวแล้วคือ mass ซึ่งไม่ใช่น้ำหนัก
แต่เปน “จำนวน” partical ของแสง
จะเรียกว่า ก้อนแสงก็ได้
ตัวเลขที่ให้ออกมา กต่ปริมาน จำนวนกัอนแสงที่ตกหระทบ ต้อหน่วยพท
ดังนั้น แสงจึงเปนทั้ง มวล และคลื่น ไปพร้อมๆกัน
ซึ่งเมื่อมันมาตกกระทบตีออะไรก็ตามจะเกิดความร้อนขึ้น
ซึ่งก็คือพลังงานที่อยู่ในรูปความร้อนนั่นเอง
ทุกสี ไม่ว่าจะเปนสีฟ้า หรือสีแดง ต่างให้พลังงานความร้อนทั้งสิ้น
สีเขียว สีเหลืองก็ให้เหมือนกัน
ดังนั้นค่าจึงเป็นค่า จำนวนก้อนของแสง ทุกสี รวมๆกันแล้วให้ค่านี้ออกมา
ซึ่งก็คือการเปลี่ยนรูปของ ก้อนแสงที่เปนเม็ดหรือ mass ให้เปนพลังงาน และหากเชื่อ ไอสไตน์ ว่า e=mc2
ก็ไม่ต้องมีข้อสงสัยอะไรว่าแสง เปนก้อน หรือเปนคลื่น เพราะมันเปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันม แล้ว การรับรู้ของผู้สังเกตุ ว่าอยากจะใหีมันเปนอะไร
เมื่อย้อนกลับไปอ่านค่าตามเครื่อง พบว่า spectrum ของแสงที่ได้จากหลอด led นั้นได้ตามทฤษฎี เส้นแดงเป๊ะ แต่ค่า ก้อนแสง มีกะติ๋วเดียว ต้นไม้จึงไม่โต
ดังนั้น สี กับ พลังงานจึงต้องนำมาพอจารณากันอย่างแยกส่วน
- ค่า ppfd อ่านว่า photosynthesis proton flux density มีค่าตั้งแต่ คลิ่นยาว 400-700 ไมโครเมตร
- ส่วน pfd คือ photon flux density มีช่วงคลื่นตั้งแต่ 350-800 นาโนเมตร (ผมอ่านผิด ไม่ใช่ไมโคร แต่เปนนาโน ซึ่งสั้นกว่า ไมโคร 1000 เท่า
คนเราปรกติจะเห็นตั้งแต่ 400-700นาโน
คนไม่ปรกติ บางคนอาจจะเห็นได้นอกเหนือจากนั้น
limit ซ้าย 350 นาโน ถือเปนช่วงคลื่นที่เรียกว่า uv เปนคลื่นสั้นมากๆ มีความถี่สูง มีอำนาจในการทะลุทะลวงสูงเปนอันตรายเป้นอย่างยิ่งแต่เซล เพราะหากโดน นานๆ จะเข้าทำลาย เซลอย่างถาวร
ดังนั้นคนโดน uv มากๆจะเปนมะเร็ง
เราใช้ประโยชนจาก uv ในการฆ่าเชื้อ เช่นที่กรองน้ำใส่หลอด uv ไว้ฆ่า แบคทีเรีย
แค่น้ำไหลผ่านหลอด uv เชิ้อก็ตายแล้ว แป๊ปเดียวเอง
ส่วนด้านขวา ดังที่กล่าวแล้วว่า ถ้าาช่วงคลื่น 700 เปนสีแดง ตามองเห็น
แต่เกิน ไปถึง 750 อยู่ในช่วงคลื่นที่เรียกว่า infrared (ir)
อินฟราเรด คือคลื่นความร้อน ตามองไม่เห็นแต่รู้สึกได้
- เพราะฉนั้น ppfd คือช่วงคลื่นที่พืชใช้ในการสังเคราะแสง
- ส่วน pfd เปนของแถมที่ บริษัท แถมมาให้ไม่ใช้ในการสังเคราะหแสง
เค้าให้มาเพื่อการเฝ้าระวังทั้ง uv และ ir
- บางทฤษฎีบอกว่า
การที่พืชได้รับ uv ซึ่งตามจิงก็ได้รับจากแสงอาทิตย ทำให้พืชเกิด stress และจะสร้างสารสำคัญเพื่อปกป้องตนเอง
พืชแต่ละชนิดก็จะสร้างสารเคมีที่แตกต่างกัน
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเจอกัน ir มากๆ ก็ทำให้เกิดการสร้างสาร สำคัญบางอย่างเหมือนกัน - ก็คือมีประโยชนทั้งซ้ายและขวา ซึ่งทั้งหมดยังเปนทฤษฎี แนวคิด เค้าเล่าว่า อาจจะ บางที่ ไม่แน่ ฯลฯ
แต่ในมิติ ของการปลูกโดยใช้แสงประดิษฐ ซึ่งแปลอย่างหยาบๆมา จาก artificial lighting กลับเปนเรื่องสำคัญ
เพราะเรามักจะใช้ led ในห้องมืด ซึ่งถ้า หลอดก็ให้ uv ก็อาจจะทำให้เราต้องไปแย่งเตียงผู้ป่วยโควิทรักษามะเร็งอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ส่วน ir นั้นไซร ถ้ามากเกินไปก็เปลืองเงินค้าแอร์เพตาะมันให้แต่ความร้อน หาประโยชนมิได้เลย